เมื่อพูดถึงป่าชายเลนส่วนใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะผู้มีพื้นฐานห่างไกลชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำหรือทะเลสาบมักจะไม่รู้จักมักคุ้นกับป่าชนิดนี้นัก เนื่องจากป่าชายเลนชอบขึ้นและพบอยู่ทั่วไปบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล บริเวณปากอ่าว ลำคลอง ทะเลสาบ และรอบเกาะแก่งต่างๆ ซึ่งเป็นที่มีน้ำทะเลท่วมถึงในแถบโซนร้อน "ป่าชายเลน" หรือชาวบ้านริมฝั่งทะเลเรียกกันว่า "ป่าโกงกาง" เนื่องจากมีไม้โกงกางอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง จากสภาพภูมิประเทศ ป่าชายเลนเปรียบเสมือนที่เชื่อมต่อระหว่างบกกับทะเล
แหล่งกำเนิดและการกระจายของพื้นที่ป่าชายเลน
ป่าชายเลนจะขึ้นกระจัดการะจายอยู่ในชายฝั่งทะเลเขตร้อนตั้งแต่อเมริกา อัฟริกา และเอเซีย โดยพื้นที่ทั้งหมดประมาณ113.4ล้านไร่ โดยพบในเขตร้อนอเมริกาประมาณ39.6ล้านไร่ เขตร้อนอัฟริกาประมาณ21.3ล้านไร่ และในเขตร้อนเถบเอเซียรวมถึงออสเตรเลียประมาณ52.5ล้านไร่ ซึ่งมีมากที่สุดประมาณ64.4เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดของโลก สำหรับในประเทศไทย จากการสำรวจของกรมป่าไม้พบว่ามีป่าชายเลนอยู่เพียงประมาณ1.1ล้านไร่ ซึ่งกระจายอยู่ทางภาคตะวันออก
ตั้งแต่จังหวัดตราดจนถึงฉะเชิงเทรา และภาคกลางจากสมุทรปราการถึงประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งทั้งสองภาครวมแล้วมีพื้นที่ประมาณ14.8เปอร์เซ็นต์ สำหรับภาคใต้ฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทย จากชุมพรถึงปัตตานี และด้านชายฝั่งทะเลอันดามัน จากระนองถึงสตูลมีพื้นที่ถืง85.2เปอร์เซ็นต์ของป่าชายเลนทั้งหมดของประเทศ
ป่าชายเลนเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ
ป่าชายเลนเป็นอาณาจักรของสรรพสิ่งที่มีชีวิตนานาชนิด รวมทั้งพืชและสัตว์นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสิ่งมีชีวิตในป่าชายเลนทั้งพืชและสัตว์ พบว่า พืชรวมถึงต้นไม้ใหญ่ ไม้พุ่ม เฟิร์น ปาล์ม รวมถึง71ชนิด และพันธุ์พืชที่สำคัญ ได้แก่ โกงกาง แสม ลำพู ลำแพน ตะบูน ฝาด โปรง ถั่ว ตาตุ่ม เป็นต้น พวกเอปิไฟท์ประมาณ18ชนิด ที่สำคัญได้แก่ แส้พระอินทร์ รองเท้านารี และนมตำเรีย สาหร่ายที่พบบริเวณป่าชายเลนทั้งสิ้นประมาณ44ชนิด และชนิดที่สำคัญได้แก่ สาหร่ายสีแดง สาหร่ายวุ้น สาหร่ายสีเขียว และสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน นอกจากนี้มีพวกแพลงค์ตอนพืช รวมทั้งเห็ด รา ซึ่งมีหลายชนิด และเป็นจำนวนมากในป่าชายเลน
สำหรับสัตว์ที่พบในป่าชายเลนมีทั้งสัตว์น้ำและสัตว์บกกล่าวคือ สัตว์น้ำ รวมถึงปลา ประมาณ72ชนิด และชนิดสำคัญได้แก่ ปลานวลจันทร์ทะเล ปลากระพง ปลากระบอก ปลาบู่ เป็นต้น กุ้งประมาณ15ชนิด และชนิดที่สำคัญได้แก่ กุ้งกุลาดำ และกุ้งแชบ๊วย ปูมีประมาณ30ชนิด และชนิดที่สำคัญ ได้แก่ ปูก้ามดาบ ปูทะเล และปูแสม หอยมีประมาณ22ชนิด รวมทั้งหอยฝาเดียว และหอยสองฝา และที่สำคัญได้แก่ พวกหอยนางรม หอยขี้ก าและหอยขี้นก พวกจุลินทรีย์ในดิน สัตว์เล็กๆ ในดินมีมากมายหลายชนิด สำหรับสัตว์บก พบว่ามีนกทั้งที่อพยพและท้องถิ่นอยู่ถึง88ชนิด เช่น นกยาง เหยี่ยว นกหัวโต และนกกระจิบ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมีประมาณ35ชนิดได้แก่ ลิง นาก แมวป่า และค้างคาว สัตว์เลื้อยคลานประมาณ25ชนิด ซึ่งมีทั้งกิ้งก่า งู และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น เต่า จระเข้ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังพบว่าในป่าชายเลนมีแมลงอยู่มากมายถึง38ชนิด รวมถึงผีเสื้อกลางคืน แมลงปีกแข็ง และหิ่งห้อย เป็นต้น
ป่าชายเลนเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่สำคัญมาอย่างช้านาน
ประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่ง ได้ใช้ประโยชน์จากไม้ป่าชายเลนเพื่อเป็นพลังงานในการหุงต้มมาเป็นเวลาช้านาน ไม้จากป่าชายเลนโดยเฉพาะ ไม้โกงกางได้นำมาทำฟืนและเผาถ่านไม่เฉพาะใช้อยู่ตามบริเวณชายฝั่งเท่านั้น ประชาชนในกรุงเทพฯก็ยังนิยมใช้ถ่านจากไม้โกงกาง ป่าชายเลนในการหุงต้มอาหารหรือย่างบาบีคิว เป็นต้น ถ่านไม้จากป่าชายเลนมิเฉพาะจะใช้ภายในประเทศเท่านั้นยังส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศอีกด้วย เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นต้น ถึงแม้จะเป็นการทำเงินตราต่างประเทศไม่มากก็ตามแต่ก็ได้ดำเนินการมาอย่างช้านานแล้ว
ป่าชายเลนเป็นแหล่งอาหาร แหล่งอนุบาลตัวอ่อนและหลบภัยที่สำคัญของสัตว์น้ำชายฝั่ง
สัตว์น้ำนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนและบริเวณชายฝั่งได้อาศัย ธาตุอาหารอินทรียวัตถุที่ย่อยสลายจากเศษไม้ ใบไม้ ประมาณไว้ว่า ปีหนึ่งจะมีเศษไม้ใบไม้ที่ร่วงหล่นจากป่าชายเลนถึง 1.1-1.5ตัน น้ำหนักแห้งต่อไร่ ซึ่งเมื่อสลายตัวแล้วจะให้อินทรีย์ผสมซึ่งเป็นอาหารสัตว์เล็กๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโซ่อาหารในป่าชายเลนและชายฝั่ง จากอาหารสัตว์เล็กๆ ก็เป็นอาหารสัตว์ใหญ่กล่าวคือ จากพวกสัตว์เล็ก เช่น หนอนปล้อง จะไปสู่สัตว์ใหญ่ขึ้น เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา และในที่สุดก็เป็นอาหารของมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์สูงสุดในโซ่อาหาร สัตว์น้ำนานาชนิดไม่ว่าจะเป็น กุ้ง ปู ปลา จะอาศัยป่าชายเลนเป็นที่อนุบาลตัวอ่อน ที่อยู่อาศัยและแหล่งหลบภัย จนเมื่อสัตว์ตัวอ่อนเหล่านี้แข็งแรง ก็จะออกไปหากินและเจริญเติบโตในบริเวณชายฝั่งหรือทะเลต่อไป นอกจากนี้ป่าชายเลนยังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับการเพาะเลี้ยงชายฝั่งอีกด้วย
ป่าชายเลนกับบทบาทสำคัญต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่ง
ป่าชายเลนทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างระบบนิเวศบนบกกับระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งเปรียบเสมือน "สะพาน" เชื่อมต่อระหว่างบกกับทะเล นั่นย่อมหมายถึงว่าป่าชายเลนมีความสำคัญอย่างมาก ในการที่จะช่วยสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นในทะเลและบริเวณชายฝั่งป่าชายเลนทำหน้าที่เป็นป้อมปราการชั้นดีและราคาถูกในการป้องกันดินพังทลาย และป้องกันและบรรเทาความรุนแรงของคลื่นลมพายุชายฝั่ง และที่สำคัญอีกประการก็คือป่าชายเลนช่วยกลั่นกรองและดูดซับสิ่งปฏิกูลต่างๆ ที่ถูกปลดปล่อยจากบนบกลงสู่ชายทะเลโดยตรง ซึ่งเป็นการลดการเน่าเสียของน้ำในชายฝั่งทะเลและแม่น้ำลำคลอง และการที่ป่าชายเลนช่วยลดการพังทลายของดินชายฝั่ง การดูดซับของเสียหรือสิ่งปฎิกูลต่างๆ จากบนบก ซึ่งก็เป็นการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศหญ้าทะเล และระบบนิเวศปะการัง ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่สำคัญที่มีคุณค่ามหาศาลของชายฝั่งอีกด้วย
พื้นที่ป่าชายเลนถูกทำลายลดลงอย่างน่าเป็นห่วง
จากอดีต 10-15ปีที่ผ่านมา หากจะไปเที่ยวดูป่าชายเลนใกล้กรุงเทพฯ ก็สามารถดูได้แถวๆ บางขุนเทียน หรือบางปู สมุทรปราการ หรือคลองโดน สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร หากมีเวลามากและอยากจะเห็นป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์ พื้นที่กว้างขวางก็ไปถึงระยอง จันทบุรี และตราด ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนที่กล่าวมาแล้วนี้ได้ถูกทำลายเปลี่ยนสภาพทั้งเป็นนากุ้งและนาเกลืออย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดจันทบุรี ระยอง สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ยกเว้นจังหวัดตราดซึ่งมีป่าชายเลนอยู่อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ หากเดินทางลงไปทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกของอ่าวไทย จากประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลาและปัตตานี ป่าชายเลนที่เคยมีอย่างอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า "อ่าวบ้านดอน" ซึ่งคลุมพื้นที่ตั้งแต่ชุมพรไปถึงอ่าวขนอมจังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันจะมีป่าชายเลนเหลืออยู่ติดริมฝั่งทะเลเป็นแนวแคบๆ ประมาณ50-100 เมตร เท่านั้น นอกนั้นจะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นนากุ้งเกือบทั้งหมด
ปากน้ำจังหวัดนครศรีธรรมราชเคยมีป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์ ขณะนี้ก็เหลือแค่ริมฝั่งทะเลเช่นเดียวกันและส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นนากุ้ง ปัตตานีเป็นจังหวัดเดียวด้านตะวันตกที่มีป่าชายเลนค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นในแถบนี้ ป่าชายเลนที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์และสวยงามจะพบทางด้านชายฝั่งทะเลอันดามัน คือตั้งแต่จังหวัดระนอง ลงไปถึง พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล ซึ่งยังเป็นป่าชายเลนที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ เช่น โกงกาง ตะบูน ลำพู ลำแพน แสม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามการบุกรุกทำลายป่าชายเลนในจังหวัดเหล่านี้ก็พบอยู่เสมอโดยเฉพาะการบุกรุกทำนากุ้งเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมีหลักฐานบ่งบอกอย่างชัดเจน
จากปี พ.ศ.2504 พื้นที่ป่าชายเลนของประเทศมีถึง2.3ล้านไร่ และปรากฏว่าเหลืออยู่เพียงประมาณ1.1ล้านไร่เท่านั้น ในปี พ.ศ.2536 ส่วนใหญ่จะถูกบุกรุกเปลี่ยนแปลงไปเป็นพื้นที่นากุ้งอย่างน้อยที่สุดพื้นที่นากุ้งที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดประมาณ 6แสนไร่ ประมาณ 4 แสนไร่ เป็นพื้นที่นากุ้งที่บุกรุกป่าชายเลนโดยผิดกฎหมาย นอกจากนั้นป่าชายเลนยังถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นนาเกลือ เหมืองแร่
แหล่งชุมชน ท่าเรือ สถานที่ราชการ เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในช่วงประมาณ20กว่าปี ป่าชายเลนได้ถูกบุกรุกทำลายและนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้และประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีการทำลายป่าชายเลนมากเป็นอันดับที่สามรองมาจากประเทศฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ดังนั้น1.1ล้านไร่ของป่าชายเลนที่มีอยู่ประชาชนทุกคนของประเทศเป็นเจ้าของ ควรจะได้ร่วมมือช่วยกันปกป้องมิให้มีการทำลายต่อไปอีกแล้ว
ป่าชายเลน...เริ่มต้นการป้องกันและอนุรักษ์อย่างจริงจังเสียที
ป่าชายเลนซึ่งเหลืออยู่ประมาณ1.1ล้านไร่ ถือเป็นสมบัติของส่วนรวมของประชาชนทั้งประเทศ การทำลายป่าชายเลนย่อมมีผลกระทบต่อทุกคนในระดับที่ต่างกัน ขณะนี้ป่าชายเลนมีพื้นที่จำกัดมาก หากปล่อยให้ป่าชายเลนถูกบุกรุกทำลายต่อไปในอนาคตอย่างต่อเนื่องก็เชื่อได้ว่าป่าชายเลนอาจจะหมดไปในวันใดวันหนึ่ง นั่นหมายถึงว่าประเทศได้สูญเสียสมบัติอันมีค่ามหาศาล และยากต่อการที่จะฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนธรรมชาติอีกได้ ความร่วมมือของประชาชนทุกระดับและมาตรการป้องกันและอนุรักษ์ป่าชายเลนของรัฐ ควรจะได้เริ่มต้นทำกันอย่างจริงจังเสียทีมิฉะนั้นมันอาจจะสายเกินไป หรืออาจจะไม่มีป่าชายเลนให้อนุรักษ์ในอนาคตอีกเลย
ข้อควรพิจารณาต่อการอนุรักษ์ป่าชายเลน
การอนุรักษ์ป่าชายเลนให้เกิดผลดีอย่างมีประสิทธิภาพ มีข้อน่าพิจารณาและดำเนินการแก้ไขอยู่มากมายนอกเหนือจากการปลูกและฟื้นฟูป่าชายเลนแล้วที่สำคัญ และจะกล่าวในที่นี้มีอยู่ 5 ประการคือ
ประการแรก
ประชาชนทุกระดับควรให้ความสำคัญของทรัพยากรป่าชายเลนให้มาก ปัจจุบันพบว่ามีบุคคลหลายกลุ่มที่มองป่าชายเลนแค่มีไม้เล็กๆ ซึ่งทำประโยชน์น้อยและมีค่าทางเศรษฐกิจต่ำเท่านั้น ควรจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่นซึ่งมีค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่า ซึ่งอันที่จริงแล้วป่าชายเลนมิควรมองเฉพาะเรื่องของไม้เท่านั้น บางประเทศมิได้ใช้ประโยชน์ไม้จากป่าชายเลนแต่อย่างใด จะอนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์ทางด้านประมงชายฝั่ง ป้องกันชายฝั่ง รักษาความสมดุลชายฝั่ง และเป็นแหล่งรวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นคุณค่าของป่าชายเลน ที่ยากต่อการประเมินเป็นตัวเงินหรือคุณค่าทางเศรษฐกิจได้
ประการที่สอง
เน้นความร่วมมือระหว่างนักเศรษฐศาสตร์กับนักวิทยาศาสตร์ให้มีมากขึ้น ในการคิดค้นหารูปแบบในการวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐกิจในทุกด้าน เพื่อการตัดสินใจการใช้พื้นที่ป่าชายเลนอย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งในด้านเศรษฐกิจและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมชายฝั่ง
ประการที่สาม
ต้องผสมผสานแผนการจัดการ และการอนุรักษ์ป่าชายเลนของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐทั้งส่วนกลางและจังหวัด เอกชน และรวมไปถึงประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการประสานงานและดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
ประการที่สี่
การใช้กฎหมายบังคับอย่างจริงจัง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายระเบียบต่างๆ ให้เกิดความรัดกุมและควรเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำไม้ หรือการขอใช้พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ในการป้องกันรักษาป่าชายเลนให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบและมติคณะรัฐมนตรี
ประการสุดท้าย
เร่งจัดการประชาสัมพันธ์ และให้การศึกษาต่อบุคคลทุกระดับอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับป่าชายเลนที่ถูกต้อง เป็นผลให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าชายเลนอย่างเหมาะสม และมิให้เกิดผลเสียต่อระบบนิเวศป่าชายเลนและระบบนิเวศชายฝั่งในระยะยาวต่อไป และสุดท้ายขอฝากคำขวัญเพื่อให้ทุกคนช่วยกันป้องกันและอนุรักษ์ป่าชายเลน เพื่อให้เป็นมรดกของชาติและลูกหลานในอนาคตสืบไป